หนึ่งในความลี้ลับ ของอารยธรรมในอเมริกากลาง
และอเมริกาใต้ คือตำนานของ จอมเทพเควตซัลโคอาทล์ (Quetzalcoatl)
จอมเทพองค์นี้มีผู้วิเคราะห์กันไปต่างๆ
ทั้งในหมู่ของนักโบราณคดี นักวิชาการหลายสาขาที่สนใจเรื่องลี้ลับ นักเทวศาสตร์
หรือแม้แต่สาวก UFO ครับ
โดยในแง่ของสาวก UFO นั้น
เชื่อกันว่า ตัวตนที่แท้จริงของพระองค์ คือ มนุษย์ต่างดาว
เนื่องจากทรงสั่งสอนให้บรรพชนในอเมริกากลางและอเมริกาใต้ มีความรู้ที่ล้ำหน้าเกินระดับสติปัญญาของพวกเขา
และล้วนเป็นความรู้ที่ไม่มีหลักฐานของการพัฒนาโดยพวกเขาเอง
หรือการได้รับมาจากอารยธรรมอื่น เช่น ในด้านคณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์
นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงมีเทพอาวุธที่ “เปลี่ยนภูเขาให้กลายเป็นหุบเขา
และเจาะภูเขาให้มีสายน้ำไหลออกมาได้”
ซึ่งนักวิเคราะห์สายนี้คิดว่า
มันคืออาวุธเลเซอร์ หรือระเบิดของผู้มาเยือนจากกาแลคซีอื่นครับ
ในตำนานยังกล่าวด้วยว่า
เมื่อพระองค์เสด็จจากไปนั้น ได้เสด็จไปโดย “เรือขนนก”
ซึ่งหมายความว่าเป็นอากาศยาน หรือพาหนะที่ล่องลอยไปในท้องฟ้า เนื่องจากขนนกเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งที่สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้
ดังนั้น ตำนานของจอมเทพเควตซัลโคอาทล์
จึงเป็นตำนานของผู้ทรงภูมิปัญญาจากอวกาศ ที่มาสั่งสอนให้มนุษย์มีอารยธรรมนั่นเอง
ในขณะเดียวกัน
นักค้นคว้าเรื่องลึกลับที่มองว่าพระองค์ไม่ได้มาจากดาวดวงไหน แต่คือ นักปราชญ์ที่มาจากอารยธรรมอันรุ่งโรจน์
ที่สูญหายไปในอดีตอันไกลโพ้น เช่น แอตแลนติส หรืออาณาจักรลี้ลับอื่นๆ
ในลักษณะเดียวกัน
ก็ชี้ให้เห็นถึงความเหมือนกัน
ของบรรดาสิ่งก่อสร้างอันเก่าแก่หลายแห่ง ในอารยธรรมโบราณทั่วโลก
ที่นักโบราณคดียังไม่อาจค้นคว้าหาคำตอบได้แน่ชัด ว่าล้วนแต่เป็นผลงานของทรงภูมิปัญญาจากอารยธรรมที่สาบสูญนี้ทั้งสิ้น
ซึ่งตัวอย่างหนึ่งก็คือ
จอมเทพเควตซัลโคอาทล์นี่แหละครับ
และด้วยเหตุนี้ จึงมีการเชื่อมโยงพระองค์
เข้ากับ จอมเทพโอสิริส (Osiris) แห่งอียิปต์โบราณ
ซึ่งก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของนักปราชญ์ ที่มาจากอารยธรรมอันสาบสูญนั้นเช่นกัน
หลายคนที่ศึกษาเทววิทยาอเมริกากลาง
พากันวิเราะห์ว่า ลัทธิของจอมเทพเควตซัลโคอาทล์ มีองค์ประกอบหลายอย่าง
ที่สอดคล้องกันดี กับตำนานจอมเทพโอสิริส จนหลายๆ คน อยากจะสรุปว่า
เป็นเทพองค์เดียวกันด้วยซ้ำ
ปัญหาก็คือ ระยะเวลาที่ห่างกันมาก
ระหว่างยุครุ่งเรืองของลัทธิโอสิเรียนในอียิปต์ กับร่องรอยที่เก่าที่สุด
ของลัทธิการบูชาจอมเทพเควตซัลโคอาทล์ในอเมริกากลางน่ะสิครับ
แล้วก็ไม่มีหลักฐานอื่นใดเลย
ที่แสดงถึงการติดต่อสัมพันธ์กันของทวีปทั้งสอง
อย่างที่เคยเอ่ยอ้างกัน
จากบรรดาโบราณสถานของชาวมายาและอัซเต็ค ที่ฝรั่งชอบเรียกว่า “พีระมิด” นั้น
ทั้งหมดก็ล้วนเป็น “เทวาลัยบนฐานเป็นชั้น” (Temple on Step Base) เหมือนปราสาทหินรุ่นแรกๆ ของเขมร
Baksei Chamkrong Temple, Siem Reap, Cambodia |
ซึ่งไม่ว่าจะเป็นแนวคิดทางสถาปัตยกรรม
ลักษณะการใช้งาน และยุคสมัยที่สร้าง ล้วนใกล้เคียงกับเทวสถานรุ่นแรกๆ ของมายา
มากกว่าพีระมิดของอียิปต์
ส่วนนักเทววิทยา
และนักคติชนวิทยาที่มองความเชื่อมโยงระหว่างอารยธรรมในทวีปอเมริกากลาง-อเมริกาใต้
กับอารยธรรมเอเชียโบราณ โดยเฉพาะจีน ก็มองไปอีกอย่างครับ
อย่างแรกที่สุด
ทั่วทั้งโลกนี้มีคติโบราณที่นับถืองูอยู่มากมายก็จริง อันนี้ไม่มีใครเถียง
แต่ “งูที่บินได้”
หรือมังกรที่มีสถานะเป็นเทพเจ้านั้น มีอยู่เพียง 2 อารยธรรม คือ จอมเทพเควตซัลโคอาทล์ กับ พญามังกร ของจีนเท่านั้นครับ
ในขณะที่งูอื่นๆ ที่บินได้
ล้วนเป็นปีศาจและอสุรกาย คือ พญางูอโปพิส (Apophis) ของอียิปต์ และ จอมอสุรีเอคิดนา (Echidna/Έχιδνα) ของกรีก
จอมเทพเควตซัลโคอาทล์ กับพญามังกรของจีน
มีลักษณะพื้นฐานที่เกือบจะเหมือนกัน คือเหาะเหินเดินอากาศได้โดยไม่ต้องมีปีก
(แม้ว่าศิลปินสมัยนี้จะชอบวาดจอมเทพเควตซัลโคอาทล์ให้เป็นพญางูขนนกที่มีปีกก็ตาม)
ทั้งสองยังเป็นพญามังกรผู้นำความอุดมสมบูรณ์มาให้
เป็นผู้ครองทั้งธาตุลมและฝน และทั้งสองก็มีอิทธิฤทธิ์อันร้ายแรง เกรี้ยวกราด
เหมือนกันอีกด้วย
อีกทั้งยังผูกพันใกล้ชิดกับสถาบันกษัตริย์ ดังเช่น
จอมเทพเควตซัลโคอาทล์ที่ผูกพันกับกษัตริย์ในตำนานยุคแรกๆ ของตอลเต็ค (Toltec) ซึ่งเป็นหนึ่งในต้นธารของลัทธิศาสนาที่บูชาพระองค์
เช่นเดียวกับพญามังกรที่ผูกพันกับสถาบันกษัตริย์ของจีน
ดังนั้นจึงมีผู้สันนิษฐานว่า จอมเทพเควตซัลโคอาทล์น่าจะเป็นพญามังกรของจีน
ซึ่งย่อมจะแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้
และด้วยเหตุผลนั้น
รูปภาพของพระองค์ที่เป็นพญางูขนนก
จึงได้รับความนิยมมากกว่ารูปมนุษย์อย่างเห็นได้ชัด เช่นเดียวกับพญามังกรของจีน
ที่ปรากฏในรูปมนุษย์ หรือ ราชันย์มังกร (龍王) ในปริมาณที่น้อยมาก
สิ่งนี้ยืนยันโดยหลักฐานทางอ้อม
คือความเหมือนกันทางศิลปวัฒนธรรมหลายๆ อย่าง
ของชาวอเมริกากลาง-อเมริกาใต้กับจีนโบราณ แม้แต่สิ่งก่อสร้างบางอย่าง
ก็มีพื้นฐานมาจากแนวความคิดที่เหมือนกัน ทั้งที่อยู่กันคนละซีกโลก
เรือขนนก
ที่จอมเทพเควตซัลโคอาทล์ทรงใช้เป็นพาหนะนั้น ก็มิใช่อะไรอื่นนอกจาก ยานวิเศษ
ที่คนจีนรู้จักกันมาแต่โบราณ โดยเรียกกันในภาษาจีนว่า “ยานเหาะ” หรือ เฟยจี
(飛機)
คำคำนี้เป็นที่รู้จักกันดีในตำนานโบราณของชาวจีนครับ
ดังปรากฏว่าเมื่อพวกเขาได้พบเห็นเครื่องบินเป็นครั้งแรก
ก็สามารถนำคำโบราณนี้มาเรียกมันได้ทันที ในขณะเดียวกับที่ชาวตะวันตกซึ่งเป็นผู้ประดิษฐ์เครื่องบินขึ้นมา
ก็ยังต้องคิดคำศัพท์ใหม่เพื่อใช้กับมัน
เทคโนโลยีการบินในตำนานจีนโบราณนี้
ชนชาติเพื่อนบ้าน คือ อินเดีย ก็มีใช้เช่นกัน และเรียกว่า “วิมาน” (Vimana)
ปริศนาทั้งหมดนี้
ยังคงเป็นสิ่งที่ถกเถียงกันโดยไม่มีข้อยุติ
ตราบใดที่ทิพยภาวะ (Divinity)
ของเทพเจ้า
ยังเป็นเรื่องที่อธิบายไม่ได้ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ครับ
...................................
หมายเหตุ :
เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง
หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย
และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด
No comments:
Post a Comment