Friday, March 13, 2020

การบูชายัญ





การบูชายัญด้วยชีวิตมนุษย์ เป็นสิ่งที่ทำกันทั่วไปในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ของทุกทวีป และแทบทุกชนชาติทั่วโลก

ในทวีปอเมริกากลาง ความนิยมในการบูชายัญเห็นได้ชัดมาตั้งแต่อารยธรรมระดับเมืองใหญ่ยุคแรก คือ โอลเม็ค (Olmec) เมื่อราวๆ 1.200-900 ปีก่อนคริสตกาล มีประติมากรรมที่แสดงถึงการจับคนต่างถิ่นมากระทำทารุณกรรม และบูชายัญอย่างสยดสยอง

ซึ่งการที่ชนชาตินี้ ได้เป็นต้นธารทางอารยธรรมทั้งหมด ในอเมริกากลางและอเมริกาใต้ ก็ทำให้ผู้คนในทั้งสองภูมิภาคนี้ ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาพร้อมกับภูมิปัญญาอันสูงส่ง แต่ก็เต็มไปด้วยวัฒนธรรมที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือด อย่างต่อเนื่องเช่นกัน




โดยในอารยธรรมมายานั้น ไม่เพียงเชลยศึก หรือประชาชนทั่วไปเท่านั้นนะครับ ที่จะต้องถูกบูชายัญ แม้แต่กษัตริย์และราชวงศ์ ก็จะต้องกรีดเลือดเป็นปริมาณมากถวายแด่เทพเจ้า ในพิธีกรรมสำคัญต่างๆ 

และการทำสงครามแต่ละครั้ง หากได้ชนชั้นสูงของอีกฝ่ายมาบูชายัญ ก็เชื่อกันว่าจะเป็นที่โปรดปรานของเทพเจ้ามากเป็นพิเศษด้วยครับ

ส่วนในอารยธรรมอัซเต็ค มหาเทพที่มีความสำคัญสูงสุด ไม่ว่าจะเป็น สุริยเทพ-เทพสงครามฮวิตซิโลปอชทลิ (Huitzilopochtli) และ วรุณเทพทลาลอค (Tlaloc) ล้วนแต่โปรดการบูชายัญ




องค์เทพสงครามฮวิตซิโลปอชทลินั้น จะต้องสังเวยด้วยชีวิตของเชลยศึกคราวละมากๆ ขณะที่วรุณเทพทลาลอค โปรดการสังเวยด้วยเด็กเล็ก

การใช้เด็กเป็นเครื่องบูชายัญ เป็นแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับพลังแห่งความอุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะในเรื่องของการเกษตร แม้ว่าชนชาติเหล่านี้จะมีความรู้ด้านการกสิกรรม ในระดับที่ก้าวหน้ามากก็ตาม

ดังในช่วงปลายสมัยแห่งอารยธรรมอินคา ซึ่งมีการนำเด็กมาสังหารเพื่อสังเวยสุริยเทพเป็นประจำทุกปี

นักวิชาการส่วนหนึ่งคิดว่า เทพอสูรเตซตาทลิโปคา (Tezcatlipoca) ในเทวศาสตร์เม็กซิกัน คือ ตัวแทนของไสยศาสตร์พื้นเมือง ที่คลั่งไคล้การบูชายัญเหล่านี้ ซึ่งเดิมน่าจะเป็นนักบวช หรือไม่ก็หมอผีผู้ทรงอิทธิพลมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ หรืออย่างน้อย ก็น่าจะมีมาแล้วในยุคโอลเม็ค

ซึ่งก็เพราะเป็นความเชื่อพื้นฐาน ที่มีอยู่ทั่วไปในอเมริกากลางและอเมริกาใต้ ในระดับที่ฝังรากลึกนี่แหละครับ

เมื่อลัทธิของชนต่างถิ่นที่ทรงภูมิปัญญา และมีศีลธรรมสูง ซึ่งมีตัวแทนคือ จอมเทพเควตซัลโคอาทล์ (Quetzalcoatl) พยายามเข้ามาแก้ไข จึงทำได้เพียงช่วงเวลาสั้นๆ และจบลงด้วยการพ่ายแต่อไสยศาสตร์พื้นเมือง

ดังที่เทวตำนานเม็กซิกัน บรรยายถึงความล้มเหลวของจอมเทพเควตซัลโคอาทล์ จนต้องเสด็จจากไป

และเนื่องจากในปัจจุบันนี้ ได้มีการฟื้นฟูลัทธิบูชาสุริยเทพฮวิตซิโลปอชทลิ และวรุณเทพทลาลอค รวมทั้งเทพอัซเต็คอื่นๆ ด้วยการถวายอาหารคาวหวานและผลไม้ อย่างที่คนเรานิยมกินกันทั่วไป ไม่แม้แต่จะมีการปะปนด้วยเลือด หรือเนื้อสัตว์ดิบๆ




ซึ่งชาวเม็กซิกันที่ทำเช่นนี้ ต่างก็ยืนยันว่า ได้ผลดี เป็นที่โปรดปรานขององค์เทพเช่นกัน

ก็ทำให้นักเทวศาสตร์สรุปว่า การที่นักบวชโอลเม็ค ตอลเต็ค มายา อัซเต็ค และอินคา เผยแพร่ความเชื่อเรื่องการบูชายัญอย่างต่อเนื่อง ตลอดระยะเวลานับพันปี จึงไม่น่าจะเป็นความพอพระทัยอันแท้จริงขององค์เทพ

หากแต่เป็นเพราะความเชื่อสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ที่ถูกพวกนักบวชนำมากล่าวอ้าง และปรุงแต่งต่อยอด เพื่อรักษาสถานะของพวกนักบวชมากกว่า

และเพื่อให้ง่ายต่อการบริหารบ้านเมือง ของกษัตริย์และชนชั้นสูงด้วย

เพราะการปกครองด้วยการทำให้ประชาชนพลเมืองหวาดกลัว คิดว่ากษัตริย์และนักบวช คือตัวแทนของเทพเจ้า ซึ่งมีอำนาจชี้เป็นชี้ตายได้นั้น มันเป็นวิธีการปกครองที่ง่าย สำหรับประชาชนพลเมืองที่มีการศึกษาน้อย

และไม่มีโอกาสที่จะพบพานชนต่างถิ่น ผู้มากับลัทธิศาสนาอื่น และวัฒนธรรมอื่นไงครับ




โดยที่กษัตริย์ และนักบวชเหล่านั้นไม่คาดคิดว่า มันจะกลายเป็น ”อาถรรพณ์” ที่ทำให้ประชาชนของพวกเขาต้องพากันรับเคราะห์ และอารยธรรมของพวกเขาต้องล่มสลายลงอย่างน่าสังเวช

เหมือนกับความตายของเหยื่อบูชายัญ ที่พวกเขาหมกมุ่นกับการแสวงหามาปรนเปรอเทพเจ้า เพื่อสนองความหลงผิดเชื่อผิดของพวกเขานั่นเอง

...................................


หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด

No comments:

Post a Comment