ชาวอินคาต่างกับชนพื้นเมืองอื่นๆ ที่เจริญรุ่งเรืองอยู่ในทวีปอเมริกากลางและใต้ก่อนสมัยโคลัมบัส
กล่าวคือไม่สร้างปราสาทหิน หรือเทวาลัยบนฐานเป็นชั้น
แต่จะสร้างเป็นอาคารชั้นเดียวบนยกพื้นสูงแทน
เทวสถานอินคาทำอย่างเดียวกับอาคารสำคัญอื่นๆ
ไม่ว่าจะเป็นพระราชวัง ที่อยู่ของนักบวช บ้านขุนนาง และอาคารสาธารณะ
กล่าวคือสร้างโดยการนำหินที่สกัดเป็นก้อนๆ แล้วมาวางต่อกันขึ้นไป
และใช้ผนังเป็นส่วนรับน้ำหนักเครื่องบน
เทวาลัยเหล่านี้มักจะทำเป็นห้องยาว
มีหน้าจั่วและหลังคาที่ก่อด้วยหิน หรือบางแห่งก็เป็นเครื่องไม้
ช่องประตูหน้าต่างก็ใช้วิธีการก่อหินเว้นไว้เป็นช่องๆ โดยเอาก้อนหินรูปยาววางพาดไว้ด้านบนระหว่างหินแท่งยาวทั้งสองข้าง
ที่ทำเป็นกรอบหน้าต่างในแนวตั้ง
แต่แม้ว่าชาวอินคาจะสร้างเทวาลัยที่สำคัญที่สุด เพื่อบูชาสุริยเทพ
เทวาลัยดังกล่าวก็ไม่จำเป็นต้องหันหน้าสู่ทิศตะวันออกเสมอไปหรอกครับ
ทิศทางการหันหน้าเทวาลัยแต่ละแห่งขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่มากกว่า
แต่โดยมากก็จะวางตัวอยู่ในแนวเหนือ-ใต้
การก่อหินของชาวอินคามีลักษณะพิเศษ
คือสามารถสกัดหินแต่ละก้อนเป็นรูปสี่เหลี่ยมด้านไม่เท่า จากนั้นก็วางซ้อนกันขึ้นไป โดยรอยต่อของหินแต่ละก้อนนั้นเชื่อมกันได้เรียบสนิท
จนไม่สามารถจะสอดแม้แต่กระดาษแผ่นบางๆ เข้าไปได้
เปรียบเทียบง่ายๆ ว่า
เหมือนกับการต่อภาพจิ๊กซอว์ (Jigsaw) หรือไม่ก็เหมือนกับเอาดินเหนียวมาปั้นเป็นสี่เหลี่ยม
แล้ววางต่อๆ กันขึ้นไปตามใจชอบ
กว่าจะแห้งน้ำหนักของดินเหนียวเหล่านั้นก็จะกดลงทับกัน จนเชื่อมกันได้สนิท
ฉันใดก็ฉันนั้นแหละครับ
แต่ข้อเท็จจริงคือ ชาวอินคาทำเช่นนี้กับหินนะครับ
มิใช่ดินเหนียว
ไม่เพียงเท่านั้น หินแต่ละก้อนยังมีน้ำหนักมาก
ก้อนที่ใหญ่ที่สุดนั้นได้รับการคำนวณคร่าวๆ ว่า อาจมีน้ำหนักอยู่ระหว่าง 10-15 ตัน ขณะที่โดยทั่วไปมีน้ำหนักมากกว่า 2 ตันขึ้นไป ทุกก้อนได้รับการตัดแต่ง และขัดเกลาอย่างดี
และการที่จะยกหินเหล่านี้ขึ้นไปบนอากาศ
เพื่อวางซ้อนทับกันโดยปราศจากเครื่องทุ่นแรง ก็นับว่าเป็นความมหัศจรรย์พอๆ
กับวิธีที่จะเอาหินแต่ละก้อนวางลงไปให้รอยต่อประสานกันได้สนิท
สิ่งที่ได้รับการยกย่องกันมาก คือ วิธีการก่อสร้างอาคารเช่นนี้สามารถต้านทานแผ่นดินไหวได้เป็นอย่างดีครับ
กล่าวคือ เมื่อเกิดแรงสั่นสะเทือนขึ้น
หินแต่ละก้อนก็จะสามารถแยกตัวออกจากกันได้อย่างพอเหมาะ เมื่อหมดแรงสั่นสะเทือน
หินแต่ละก้อนก็จะกลับเข้าที่ของมันตามเดิมโดยที่ตัวอาคารทั้งหมดไม่พังลง
ความสามารถในทางสถาปัตยกรรมเช่นนี้ของชาวอินคา
อยู่ในระดับสูงมาก จนไม่มีภัยธรรมชาติใดๆ จะทำลายได้
โบราณสถานอินคาส่วนใหญ่ที่ถูกทำลายไป เป็นเพราะฝีมือของชาวสเปน
และชาวอินคาก็ยังคงใช้วิธีการก่อหินเช่นนี้
ในเมืองที่ตั้งอยู่บนยอดเขาสูง คือ มาชู ปิคชู (Machu
Picchu)
ที่นี่มีตัวอย่างเทวสถานที่สร้างอย่างสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของอินคา
คือ เทวาลัยสุริยเทพ หรือ อินติวาซี (Intiwasi)
ซึ่งไม่ถูกทำลายไปเหมือนกับที่เคยมีอยู่ในนครคูซโค
เพราะกว่าชาวตะวันตกเพิ่งจะค้นพบมาชู ปิคชูเมื่อค.ศ.192
เทวาลัยดังกล่าวนี้ ตั้งอยู่บนจุดที่สูงที่สุดจุดหนึ่งของมาชู
ปิคชู เป็นอาคารก่อด้วยหิน หันไปทางทิศใต้ และเป็นอาคารเพียงแห่งเดียวในมาชู ปิคชู
ที่ส่วนหนึ่งมีผังเป็นรูปวงรี
ภายในแบ่งออกเป็นหลายห้อง
มีช่องหน้าต่างขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถมองเห็นพระอาทิตย์ขึ้นตอนรุ่งอรุณได้พอดี
และมีลานกว้างด้านหน้ารับประกอบพิธีกรรม ด้านหลังมีทางลงไปยังห้องเก็บมัมมี่พระศพของอดีตจักรพรรดิอีกด้วย
เพื่อสะดวกในการอัญเชิญพระศพเหล่านั้นขึ้นมาร่วมประกอบพิธีกรรมนั่นเอง
ส่วนมหาเทวาลัยสุริยเทพแห่งนครคูซโค
อันเป็นเทวสถานที่สำคัญที่สุดในลัทธิศาสนาอินคาโบราณนั้น
ชาวสเปนได้รื้อส่วนที่เป็นอาคารหลักๆ ออกทั้งหมด แล้วสร้างโบสถ์ ซานโต โดมิงโก
(Santo
Domingo) ทับบนรากฐานของเทวสถานเดิม
ปัจจุบัน
เราจึงพอจะมองเห็นได้แต่เฉพาะฐานสูงของเทวาลัยเดิม
ซึ่งรองรับสถาปัตยกรรมแบบสเปนอยู่เท่านั้นครับ
...................................
หมายเหตุ :
เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง
หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย
และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด
No comments:
Post a Comment