Sunday, March 8, 2020

ลัทธิศาสนาอินคา






ในระยะแรก ชาวอินคานับถือสุริยเทพเป็นใหญ่ ภายใต้พระนามว่า อินติ เรย์มี (Inti Raymi)

นอกจากนั้น ยังมีการบูชาจันทรเทวี ควิลลา (Quilla) รวมทั้งเทพผู้ควบคุมโลกธาตุ เทพประจำอาณาจักร เทพประจำเมือง และเทพประจำท้องถิ่นอีกหลายองค์

ชาวอินคาเชื่อว่า องค์สุริยเทพทรงสร้างมนุษย์คนแรกขึ้นบนเกาะแห่งพระอาทิตย์ กลาง ทะสาบติติคาคา (Titicaca) มีชื่อว่า มันโค คาปัค (Manco Capak) และพี่น้องอีก 7 คน พระองค์ทรงสั่งสอนศิลปวิทยาการให้พวกเขานำไปถ่ายทอดสู่มวลมนุษย์

และดินแดนที่มันโค คาปัคเลือกตั้งรกราก ก็คือบริเวณหุบเขาคูซโค ซึ่งต่อมาได้มีการสร้างเทวสถานอย่างยิ่งใหญ เพื่อสักการะองค์สุริยเทพ

ดังนั้น ทุกๆ เมืองของจักรวรรดิอินคา จึงต้องสร้างเทวาลัย สำหรับกระทำพิธีบูชาสุริยเทพด้วยเช่นกัน

โดยทุกแห่งจะมีก้อนหินสลักขนาดใหญ่ เรียกว่า อินติฮัวตานา (Intihuatana) เป็นเครื่องหมายบอกวันที่พระอาทิตย์โคจรข้ามศีรษะในช่วงเวลาเที่ยง




ซึ่งในวันเวลาดังกล่าว นักบวชและพลเมืองอินคา จะไปร่วมชุมนุมทำพิธีสวดมนต์บูชา และสรรเสริญองค์สุริยเทพ ในฐานะที่ทรงให้กำเนิด สั่งสอนวิทยาการ ประทานแสงสว่าง ความอบอุ่น และหมั่นเสด็จมาเยี่ยมเยียนชาวอินคาอยู่เสมอ

และในพิธีนั้น ก็จะมีการสรรเสริญองค์จักรพรรดิด้วย ในฐานะที่ทรงเป็นโอรสขององค์สุริยเทพ

โดยนัยนี้ ชาวอินคาจึงเรียกกษัตริย์ของตนว่า ซาปา-อินคา (Zapa-Inca) หมายถึงจอมจักรพรรดิสูงสุด ที่ทุกคนต้องถวายความจงรักภักดีอย่างแท้จริง

พระราชโองการของซาปา-อินคา ถือว่าเป็นเทวโองการแห่งสุริยเทพ ราชวงศ์ของพระองค์ ก็ถือเป็นผู้สืบสายจากองค์สุริยเทพ ทุกสิ่งทุกอย่างในอาณาจักร ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน ป่าไม้ ราษฎร หรือทรัพยากรธรรมชาติ ล้วนเป็นสมบัติของพระองค์ทั้งสิ้น

เมื่อจักรวรรดิอินคา แผ่อำนาจปกครองชนเผ่าต่างๆ ในเทือกเขาแอนดีสเกือบทั้งหมด จึงเป็นธรรมเนียมที่ทุกๆ ชนเผ่า จะต้องยอมรับว่า กษัตริย์อินคาเป็นจักรพรรดิสูงสุด ภายใต้ทิพยฐานะแห่งซาปา-อินคา โอรสแห่งสุริยเทพ ผู้เป็นใหญ่ที่สุดในโลก

การเมืองการปกครองในจักรวรรดิอินคา จึงผูกพันด้วยลัทธิศาสนาแห่งสุริยกษัตริย์ (King of The Sun) อย่างมั่นคงตลอดมา

พิธีบูชาสุริยเทพ ที่ถือว่าสำคัญต่อชีวิตชาวอินคาทุกคนอีกพิธีหนึ่ง คือ ซีทัว (Zitua) ซึ่งจะกระทำในช่วงเริ่มฤดูฝน เพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้าย ที่พวกเขาคิดว่าเป็นต้นเหตุ ที่ทำให้ประชาชนทั่วไปเจ็บไข้ไม่สบาย

โดยพิธีดังกล่าวนี้ จะเริ่มในเวลาเที่ยงตรง ทุกคนจะไปรวมกันที่ลานหน้าสุริยเทวาลัย นักบวชชั้นสูงจะนำสวด ขอพรองค์สุริยเทพให้ขับไล่โรคร้าย และปีศาจต่างๆ ออกไปจากแผ่นดิน




ในชีวิตประจำวันของชาวอินคาโดยทั่วไป ก็จะมีการบูชาองค์สุริยเทพ ขณะเดินทางบนที่สูงช่วงเวลากลางคืน ไม่ว่าจะเป็นป่า ที่ราบสูง หรือบนภูเขาสูงเกินกว่าระดับน้ำทะเล 2 ไมล์ขึ้นไป เพื่อให้ทรงคุ้มครองจากอำนาจของ "ลมปีศาจ" ที่หนาวเย็นมาก และพัดอยู่ในเทือกเขาแอนดีสตลอดทั้งคืน

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่จักรวรรดิอินคาเจริญรุ่งเรือง ชาวอินคาก็ได้รับลัทธิการบูชาจอมเทพเควตซัลโคอาทล์ จากอเมริกากลาง โดยทรงมีพระนามในภาษาเควชัวว่า จอมเทพวิราโคชา (Viracocha)

ลัทธินี้ ต่อมาก็ทวีความสำคัญในทางปรัชญา ยิ่งกว่าลัทธิบูชาสุริยเทพ ดังที่ยกย่องกันว่า จอมเทพวิราโคชาทรงเป็นผู้สร้างโลก เป็นพระบิดาของสุริยเทพ จันทรเทวี ตลอดจนเทพ-เทวีทั้งปวง รวมทั้งทรงสร้างมนุษย์คนแรกบนโลกด้วยก้อนหิน

หากแต่ในทางปฏิบัติแล้ว ลัทธิบูชาสุริยเทพก็ยังมีบทบาทสำคัญอยู่ และกลับยิ่งเพิ่มความเหี้ยมโหดทารุณมากขึ้น อย่างที่ลัทธิของจอมเทพวิราโคชาไม่อาจหยุดยั้งได้

ดังมีหลักฐานบ่งชัดว่า ความรุนแรงอย่างมากที่สุด เท่าที่เคยเกิดขึ้นในพิธีกรรมทางศาสนาของชาวอินคาในระยะแรก เป็นเพียงการเซ่นสังเวยองค์สุริยเทพ ด้วยการฆ่าสัตว์เป็นๆ อย่างตัวอัลปากา แกะ แพะ และหมูในพิธีกรรมสำคัญๆ เท่านั้น




แต่พอถึงช่วงปลายสมัยแห่งอารยธรรม ก็พัฒนากลายเป็นการบูชายัญด้วยชีวิตมนุษย์ โดยเฉพาะเชลยศึก และเด็ก ซึ่งถูกนำมาฆ่าเพื่อสังเวยองค์สุริยเทพเป็นประจำทุกปี ดังในปีค.ศ.2019 ที่นักโบราณคดีได้ค้นพบสุสานของเหยื่อบูชายัญ ซึ่งเป็นเด็กเล็กจนถึงอายุ 14 ปีกว่า 200 ศพ

นักเทววิทยาหลายท่านแสดงทรรศนะว่า การที่ชาวอินคาได้รับคติการนับถือจอมเทพเควตซัลโคอาทล์จากเม็กซิโก อาจทำให้พวกเขาได้รับพิธีกรรมอันโหดร้าย ภายใต้อิทธิพลของลัทธิการนับถือ เทพอสูรเตซคาทลิโปคา (Tezcatlipoca) เข้ามาด้วยก็เป็นได้

และการสังเวยเด็กหญิงในช่วงปลายสมัยอินคา ก็ถือว่าสามารถไถ่บาป และความทุกข์ยากทั้งหลายของประชาชนทั้งหมดได้ หรือบางครั้งก็กระทำเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้ชุมชนหรืออาณาจักร

เด็กที่ถูกบูชายัญ มักจะคัดเลือกจากเด็กหญิงที่สวยที่สุด โดยนำศพไปไว้ในถ้ำหรือโยนลงเหว บางทีก็ทำเป็นมัมมี่นำไปไว้บนยอดเขาสูง เช่นในชิลี ซึ่งได้พบมัมมี่เด็กหญิงที่แต่งตัวอย่างสวยงามจำนวนหนึ่ง ที่มีอายุราวๆ 500 ปีมาแล้ว แต่ยังคงสภาพดีอยู่

โดยเฉพาะมัมมี่เด็กหญิงที่เรียกกันว่า ฮัวนิตา ลา ดอนเซญา (Juanita La Doncella) อยู่ในสภาพสมบูรณ์ จนนักวิชาการสามารถจำลองความบริสุทธิ์สดใส เมื่อครั้งยังมีชีวิตได้




ครอบครัวของเด็กที่ถูกคัดเลือกไปบูชายัญนี้ จะได้รับเกียรติยศและคำสรรเสริญ รวมทั้งสิทธิพิเศษเป็นอันมาก เพราะถือว่าเป็นผู้เสียสละ เพื่อผลประโยชน์ของคนทั้งอาณาจักร

เมื่อสเปนยึดครองจักรวรรดิอินคา และบังคับให้ทุกคนเข้ารีตนับถือศาสนาคริสต์แล้ว ได้พยายามกำจัดการบูชายัญเด็กของชาวอินคา แต่ก็ยังมีการประกอบพิธีกรรมเช่นนี้อย่างลับๆ อยู่จนกระทั่งถึงต้นคริสตศตวรรษที่ 20

นอกจากการบูชาเทพแล้ว ชาวอินคายังมีความเชื่อว่า ไม่เพียงแต่มนุษย์เท่านั้นที่มีวิญญาณ ทั้งพืชและสัตว์ต่างๆ ก็มีวิญญาณด้วย จึงต้องมีวิธีปฏิบัติ เพื่อให้อยู่ร่วมกันได้อย่างเหมาะสม

ในทรรศนะของชาวอินคา ยังเห็นว่าสิ่งที่ไม่มีชีวิต เช่นบ้านเรือน สิ่งก่อสร้าง หรือวัตถุต่างๆ โดยเฉพาะสถานที่ศักดิ์สิทธ์ ก็มีพลังลึกลับแฝงอยู่ด้วยเช่นกัน

พลังลี้ลับเหล่านี้มีชื่อว่า ฮัวคา (Huaca) ซึ่งเป็นความเชื่อที่คล้ายกับ “ปราณ” ของชาวอินเดีย และ “พลังชี่” ของจีน




ปัจจุบันนี้ ทางรัฐบาลเปรูได้มีการฟื้นฟูพิธีบูชาสุริยเทพ โดยจะมีการจัดกระบวนแห่อย่างยิ่งใหญ่ในนครคูซโค จำลองขบวนเสด็จของซาปา-อินคาในอดีต เป็นเทศกาลประจำปี

แต่ก็ถูกมองว่า เป็นกิจกรรมที่หวังผลทางการท่องเที่ยว มากกว่าทางด้านจิตวิญญาณครับ

...................................


หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด

No comments:

Post a Comment