Friday, February 28, 2020

จักรวรรดิอัซเต็ค ตอนที่ 1






อัซเต็ค (Aztec) เป็นจักรวรรดิที่ยิ่งใหญที่สุด และเจริญรุ่งเรืองที่สุดในทวีปอเมริกากลาง หรือ เมโสอเมริกา (Mesoamerica) ซึ่งเป็นประเทศเม็กซิโกในปัจจุบัน

ชาวอัซเต็ค คือ ชนเผ่าหนึ่งที่พูดภาษานาวาทล์ (Nahuatl) ซึ่งแม้จะอ้างตนว่าสืบเชื้อสายมาจากชนเผ่าตอลเต็ค (Toltec) แต่โดยทางชาติพันธุ์วิทยาแล้ว พวกเขาสืบเชื้อสายมาจากชนเผ่าชิชิเม็ค (Chichimec) ซึ่งจัดอยู่ในกล่มเดียวกับพวกตอลเต็
และก็เหมือนกับชนเผ่าตอลเต็ค คือ แต่เดิมเป็นชนเผ่าอพยพเร่ร่อนมาจากทะเลทรายด้านตะวันตกเฉียงเหนือของเม็กซิโก จนมาถึงบริเวณหุบเขาเม็กซิโก (Valley of Mexico) ในช่วงปลายคริสตศตวรรษที่ 13

ตำนานของชาวอัซเต็คกล่าวไว้ว่า พวกเขาจะหาที่ลงหลักปักฐาน ณ สถานที่ที่พวกเขาได้เห็นนกอินทรีเกาะอยู่บนต้นตะบองเพชร 




และหลังจากแสวงหาสถานที่ดังกล่าวในหุบเขาเม็กซิโกอยู่หลายสิบปี จนค.ศ.1325 พวกเขาจึงได้พบว่า มันเป็นเกาะใหญ่ใน ทะเลสาบเต็กซ์โคโค (Texcoco)  

พวกเขาจึงตั้งเมืองบนเกาะแห่งนั้น ให้ชื่อว่า เตนอชติทลัน (Tenochtitlán) ในราวปี ค.ศ.1344 (ตรงกับพ.ศ.1887 สมัยพญางั่วนำถมครองกรุงสุโขทัย และก่อนอยุธยาตอนต้นเล็กน้อย)

ในฐานะผู้มาอยู่ใหม่ และเพิ่งจะเริ่มตั้งรกราก พวกเขายังคงต้องถวายเครื่องบรรณาการแก่ นครรัฐเตปาเน็ค (Tepanec) ที่มีอำนาจครอบคลุมทะเลสาบในช่วงนั้น

ต่อมา ในปีค.ศ.1426 อำนาจของเตปาเนคเริ่มเสื่อมลง ชาวอัซเต็คกับเจ้าเมืองข้างเคียงคือ เต็กซ์โคโค และ ทลาโคปัน (Tlacopán) จึงรวบกำลังกันโค่นล้มเตปาเน็ค และแบ่งดินแดนกัน




อาณาจักรอัซเต็ค จึงถือกำเนิดด้วยเหตุนี้ละครับ

เนื่องจากนครเตนอชติทลันตั้งอยู่บนเกาะ และแผ่นดินที่อยู่ใกล้เคียงเป็นแอ่งน้ำหรือภูเขา ไม่เหมาะสำหรับการทำเกษตรกรรม ชาวอัซเต็คจึงแก้ปัญหาด้วยการสร้าง สวนลอยน้ำ (Chinampas) หรือสวนเป็นรูปสี่เหลี่ยมลอยขึ้นบนทะเลสาบเต็กซ์โคโค

และจากสวนลอยเหล่านี้แหละครับ พวกเขาก็สามารถผลิตพืชพันธุ์ธัญญาหารได้เป็นอันมาก จนมีปริมาณพอที่จะเลี้ยงดูคนได้ทั้งเกาะ




เมื่อมีแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์เช่นนี้ ประชากรแห่งเตนอชติทลันก็เจริญเติบโตขึ้น จนเมื่อพวกสเปนเข้าไปถึงนั้น มีมากถึงราวๆ 250,000 คน นับเป็นมหานครที่ใหญ่โตที่สุดในอเมริกากลางก่อนสมัยโคลัมบัส

อาณาจักรอัซเต็ค เกิดจากการรวมตัวในลักษณะของพันธมิตรอย่างหลวมๆ ระหว่างสามเมือง ดังนั้น ความสัมพันธ์จึงไม่ค่อยแน่นอน บางทีก็เป็นมิตร และบางทีก็สู้รบกัน

แต่เมื่อเวลาผ่านไป อิทธิพลของนครเตนอชติทลันเพิ่มขึ้น มีขนาดใหญ่และอำนาจสูง จนได้รับการยอมรับให้เป็นศูนย์กลางของอาณาจักร และทำให้ความเป็นพันธมิตรนั้นมั่นคงขึ้น




ช่วงเวลาเดียวกันนั้น ชาวอัซเต็คก็พัฒนากองทัพ และขยายอำนาจด้วยการทำสงคราม ยึดครองบ้านเมืองและชนเผ่าต่างๆ ตั้งแต่หุบเขาเม็กซิโกไปจนถึงชายฝั่งอ่าวเม็กซิโก และตอนเหนือของกัวเตมาลา ในช่วงปีค.ศ.1428-1521

จนในที่สุด อาณาจักรอัซเต็คก็เติบโตขึ้นเป็นจักรวรรดิอย่างบริบูรณ์ ในช่วงประมาณร้อยปีสุดท้าย ก่อนที่จะถูกกองทัพสเปนเข้ายึดครอง

ในการขยายอำนาจดังกล่าว ถ้าเมืองใดยอมจำนนไม่ต่อสู้ อัซเต็คจะให้สิทธิ์ในการปกครองตนเอง และดำเนินชีวิตตามวิถึวัฒนธรรมประเพณีของตนต่อไปได้

เพียงแต่ต้องส่งเครื่องบรรณาการ ซึ่งส่วนมากจะเป็นผลผลิตทางการเกษตร เช่น ข้าวโพด พริก ถั่ว หรือของมีค่า เช่น ขนนก เพชรพลอย หนังเสือจากัวร์ ที่เมืองประเทศราชเหล่านั้น มีศักยภาพพอจะจัดหาได้

ส่วนเมืองที่ไม่ยอมจำนน ก็จะต้องพบกับความสยดสยองเป็นสิ่งตอบแทนครับ




เพราะกองทัพอัซเต็ค จะทำการรบโดยมุ่งจับเชลยเป็นๆ มากกว่าการสังหารในสนามรบ

เพื่อจะนำเชลยเหล่านั้นไปประกอบพิธีบูชายัญ ถวายองค์สุริยเทพ และเทพเจ้าแห่งสงคราม ฮวิตซิโลปอชทลิ (Huitzilopochtli) ซึ่งเป็นเทพผู้อุปถัมภ์นครเคนอชติทลันด้วย

...................................


หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด

No comments:

Post a Comment