Thursday, February 13, 2020

อารยธรรมมายา





คืออารยธรรมของชนเผ่ามายา (Maya) หรือชนเผ่าต่างๆ ที่พูดภาษายูคาเต็ค (Yucatec) และภาษาควีเช (Quiché) ในบริเวณที่ราบกว้างใหญ่ ทางตอนใต้ของเม็กซิโกในปัจจุบัน

โดยครอบคลุมตั้งเเต่ แหลมยูคาตัน (Yucatán Peninsula) ในอเมริกากลาง ข้ามไปถึง ชิอาปัส (Chiapas) เเละชายฝั่งเเปซิฟิกของกัวเตมาลา


อารยธรรมมายา เริ่มต้นจากชุมชนเกษตรกรรมกลางป่าลึก เมื่อประมาณ 1,500 ปี ก่อนคริสตกาล พวกเขารู้จักการเพาะปลูกธัญพืชหลากหลายชนิด เช่น ข้าวโพด โกโก้ ข้าวสาลี รวมทั้งยังทำเครื่องมือจับปลา และกั้นคอกเพื่อเลี้ยงสัตว์ที่จับมาจากป่า เช่น กวางและไก่งวงป่าไว้เป็นอาหาร

พวกเขามีความสามารถในการทำกสิกรรมมากครับ  เพราะว่าผืนดินของคาบสมุทรยูคาตันนั้นไม่สามารถพูดได้ว่าอุดมสมบูรณ์ แต่พวกเขาก็แก้ปัญหาด้วยเทคนิคทางการเกษตรที่ก้าวหน้า เช่น การวางระบบชลประทาน การใส่ปุ๋ย การปลูกพืชแบบขั้นบันได การพักดิน และปลูกพืชหมุนเวียนเพื่อช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้มากขึ้น

ซึ่งก็ทำให้พวกเขาได้ผลผลิต จนเลี้ยงดูพลเมืองได้อย่างเพียงพอ ทั้งยังสามารถแบ่งไปค้าขายระหว่างกันได้

บรรดาพ่อค้าชาวมายาจะขนส่งสินค้า โดยเดินเท้าไปตามถนนที่ตัดผ่านป่าทึบ และใช้เรือแคนูล่องขึ้นลงตามลำน้ำ สินค้าที่ซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน มีทั้งผลผลิตทางการเกษตรชนิดต่างๆ หยก แร่ไพไรต์ ขนนกเควตซัล (Quetzal) และหนังสัตว์หายาก โดยใช้เมล็ดโกโก้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน

การทำเกษตรกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ ยังทำให้มีประชากรมากมาย จนพัฒนากลายเป็นเมือง และเกิดระบบชนชั้น คือ ชนชั้นปกครอง ชนชั้นสูง ชาวไร่ชาวนา และทาส

ชนชั้นปกครองชองชาวมายา เป็นกษัตริย์และราชวงศ์ ชาวมายาเรียกกษัตริย์ของพวกเขาว่า คูฮุลอะฮอว์ (K'uhul Ajaw) หรือ เทวกษัตริย์ เป็นทั้งประมุขในการบริหารบ้านเมือง และในทางศาสนา

ส่วนชนชั้นสูงก็เป็นพวกที่มีการศึกษาและมั่งคั่ง ประกอบด้วยขุนนาง ข้าราชการ นักวิชาการ นักรบ และพ่อค้า พวกเขาอยู่ดีกินดีและมีสิทธิพิเศษ อาหารบางอย่าง เช่นช็อคโกแลต ที่พวกเรานิยมกินกันทุกวันนี้ ถูกสงวนไว้สำหรับคนชั้นสูงเพียงกลุ่มเดียวนะครับ





ขณะที่ชาวนาซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ มีความเป็นอยู่แตกต่างจากชนชั้นสูงมาก ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ ใกล้กับเมือง และปลูกพืชเพื่อเลี้ยงดูคนในเมือง

แต่ก็ยังนับว่าดีกว่าพวกทาส ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเชลยที่ถูกจับในสงคราม และเด็กกำพร้า ซึ่งต้องรับใช้ชนชั้นอื่นๆ ไปตลอดชีวิตครับ

นักวิชาการชาวมายามีความรู้ในทางดาราศาสตร์อย่างน่าพิศวง  พวกเขาทำแผนที่วงโคจรของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดาวศุกร์ และดวงดาวต่างๆ อย่างถูกต้อง รู้จักสังเกตวันที่กลางคืนกับกลางวันยาวเท่ากัน และปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์อื่นๆ ทำให้พวกเขาทีระบบปฏิทินที่มีความแม่นยำอย่างไม่น่าเชื่อ

และยังไม่เคยปรากฏว่าผิดไปจากความจริง หรือแตกต่างไปจากการคำนวณ ของนักดาราศาสตร์ในเวลาปัจจุบันแม้แต่อย่างเดียว





ทั้งหมดนี้ ก็เพื่อเหตุผลทั้งทางโลก และทางจิตวิญญาณครับ

กล่าวคือ นอกจากจะใช้สำหรับการกำหนดเวลาเพาะปลูกแล้ว ยังใช้เพื่อหาฤกษ์ยามในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ ให้ตรงกับการเคลื่อนที่ของดวงดาว ที่พวกเขาเชื่อว่า เป็นตัวกำหนดโชคชะตาของพวกเขา

ในด้านอักษรศาสตร์ ชาวมายายังได้พัฒนาระบบการเขียนที่สลับซับซ้อน โดยใช้สัญลักษณ์ต่าง ๆ ในลักษณะของอักษรภาพ เขียนบนกระดาษที่ทำจากเปลือกไม้ พับหน้าเป็นสมุด เรียกว่า โคเด็กซ์ (Codex) สมุดเหล่านี้รอดพ้นจากการเผาทำลายของบาทหลวงสเปนในยุคหลังมาได้ไม่มากนัก

นอกจากนี้ ยังมีการสร้างประติมากรรมหินขนาดใหญ่ เรียกว่า สตีลา (Stela) สำหรับจารึกปฏิทิน วันเดือนปีที่สำคัญ และเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ไว้ ด้วยฝีมือการแกะสลักที่ยอดเยี่ยมอย่างน่าอัศจรรย์ ทั้งๆ ที่ไม่มีเครื่องมือที่ทำด้วยโลหะ ใช้กันแต่หินฟลินต์ (Flint) ที่กะเทาะให้มีคมเท่านั้น

แม้ชาวมายาจะมีอารยธรรมที่รุ่งเรือง แต่พวกเขาไม่ได้รวมตัวกันเป็นอาณาจักรหนึ่งเดียวหรอกนะครับ

พวกเขาต่างก็แยกกันปกครองตนเอง ในรูปแบบนครรัฐ (City States) ต่างๆ เหมือนกับบรรดานครรัฐของกรีกโบราณ

ซึ่งในยุคคลาสสิก คือ ระหว่างค.ศ.250-900  ที่อารยธรรมมายาเจริญถึงจุดสูงสุด มีนครรัฐมากกว่า 40 แห่ง กระจายตัวอยู่ทั่วดินแดนของพวกเขา




นครรัฐเหล่านี้มีวัฒนธรรม และความเชื่อทางศาสนาที่คล้ายกัน แต่ละเมืองประกอบด้วยสถาปัตยกรรมที่งดงาม ลานกว้าง พระราชวัง และปราสาทหิน หรือเทวาลัยบนฐานเป็นชั้นสูงเสียดยอดไม้
  
บางนครรัฐอย่าง ติกัล (Tikal) ปาเลงเคว (Palenque) คาลักมุล (Calakmul) และ โคปัน (Copan) เป็นนครใหญ่ เข้มแข็งและทรงอิทธิพล มหานครเหล่านี้มักขายอำนาจของตนเข้าสู่รัฐเพื่อนบ้านรอบข้าง ทั้งด้วยวิธีทางการทูต การสมรสข้ามราชวงศ์ และการทำสงครามนับครั้งไม่ถ้วน เพื่อขยายดินแดน และมุ่งที่จะจับเหยื่อมาบูชายัญต่อเทพเจ้า

 หนึ่งในสงครามสำคัญของชาวมายา เริ่มจากการแข่งขันระหว่างสองมหานครใหญ่ คือ ติกัลและคาลักมุล 

มหานครทั้งสองต่างก็มีรัฐพันธมิตร และบริวารเป็นจำนวนมาก จนก้าวขึ้นสู่ความเป็นมหาอำนาจของดินแดนมายาในเวลาไล่เลี่ยกัน และกลายเป็นคู่แข่งขันที่เผชิญหน้ากันยาวนานกว่าร้อยปี จนกระทั่ง ค.ศ.699 คาลักมุลเป็นฝ่ายแพ้ ถูกทำลายจนล่มสลาย ไม่อาจฟื้นตัวได้อีก




ส่วนติกัลเองนั้น แม้จะเป็นผู้ชนะ แต่ก็ยังต้องทำสงครามต่อเนื่องกับเหล่าพันธมิตรและบริวารเดิมของคาลักมุล สงครามที่ยาวนานเช่นนี้ ส่งผลให้ติกัลอ่อนแอลง จนสูญเสียอำนาจการควบคุมดินแดนที่เคยอยู่ในอาณัติของตน และไม่อาจกลับคืนสู่ความรุ่งเรืองได้อีกเช่นกัน

เมื่อไม่มีมหาอำนาจคอยถ่วงดุลกันอีกต่อไป บรรดานครรัฐต่างๆ ก็ทำสงครามแย่งชิงความเป็นใหญ่กัน จนอ่อนแอลงไปด้วยกันทั้งหมด

อีกทั้งในขณะเดียวกัน พลเมืองของนครใหญ่หลายแห่งก็เพิ่มจำนวนมากขึ้น

แล้วชนชั้นสูงที่เพิ่มปริมาณมากขึ้น ก็บริโภคทรัพยากรอย่างฟุ่มเฟือยมากขึ้นตามไปด้วย  ทำให้ต้องมีการบุกรุกทำลายผืนป่ากว้างใหญ่ เพื่อนำพื้นที่มาใช้ในการกสิกรรมอย่างไม่หยุดยั้ง

สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ได้กลายเป็นตัวเร่ง ในการล้างผลาญทรัพยากรธรรมชาติ ของดินแดนมายาให้ร่อยหรอลงอย่างรวดเร็ว อย่างที่ไม่มีชาวมายาคนไหนทันรู้สึก

จนในที่สุด การสูญเสียพื้นที่ป่าก็ส่งผลให้เกิดความแปรปรวนของดินฟ้าอากาศ ทั้งพายุ น้ำท่วม และความแห้งแล้ง ก่อให้เกิดความเสียหายต่อการเพาะปลูก ผลผลิตที่หล่อเลี้ยงผู้คนมีจำนวนลดน้อยลงทุกที จนความเชี่ยวชาญทางการเกษตรที่มีมาแต่เดิม ไม่สามารถรับมือได้อีกต่อไป

แล้วชนชั้นสูงในเมืองใหญ่ ที่ยังไม่ยอมลดความต้องการบริโภคของตน แก้ปัญหาอย่างไรครับ?

พวกเขาก็ใช้วิธีรีดภาษี จากบรรดาหมู่บ้านรอบข้าง

ทำให้ชาวบ้านเหล่านั้นไม่พอใจ จนลุกลามกลายเป็นกบฏ ความวุ่นวายเช่นนี้ได้เกิดขึ้นกับนครรัฐต่างๆ แทบจะทั่วทั้งคาบสมุทร

จนในที่สุด ก็นำไปสู่การล่มสลายของอารยธรรมมายาทั้งหมด ในช่วงปี ค.ศ.1000

เมื่ออารยธรรมล่มสลาย บรรดาชาวมายาที่เคยอยู่ในนครรัฐใหญ่ๆ ต่างก็ละทิ้งเมืองของพวกเขา บางส่วนได้ไปลงหลักปักฐานในพื้นที่อื่น และสร้าง หรือส่งอิทธิพลให้เกิดอารยธรรมใหม่ๆ ขึ้นในอเมริกากลาง เช่น อัซเต็ค




บางส่วนยังคงอยู่ในนครรัฐเล็กๆ ที่ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก จนกระทั่งถูกชาวสเปนยึดครองในคริสตศตวรรษที่ 16 และก็มีอีกมากที่หายสาบสูญไป

เมื่อกาลเวลาล่วงผ่าน บรรดานครต่างๆ ซึ่งถูกทอดทิ้ง ก็ค่อยๆ ถูกกลืนหายไปในป่าดงดิบ จนกระทั่งชาวตะวันตกไปค้นพบ และเปิดเผยทุกสิ่งทุกอย่างสู้สายตาชาวโลกอีกครั้ง เมื่อร้อยกว่าปีมานี้เอง

...................................


หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด

No comments:

Post a Comment