นครสำคัญที่ชาวมายาถือว่า
เป็นศูนย์กลางการบริหาร และการประกอบพิธีกรรมทางศาสนานั้น มักจะมีการสร้างศาสนสถาน
ในลักษณะของปราสาทหิน หรือเทวาลัยบนฐานเป็นชั้นเลียนแบบภูเขา
ปราสาทหินเหล่านี้ จะล้อมรอบด้วยอาคารบริวาร
และแต่ละนครรัฐก็จะมีลักษณะการก่อสร้างและความงามที่เป็นแบบฉบับของตน ซึ่งหลายๆ
แหเงก็ทำได้อย่างวิจิตรพิสดาร หรือมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นมาก
ตัวอย่างเช่นที่ นครติกัล (Tikal)
ในกัวเตมาลา มีการสร้างปราสาทหินที่มีขนาดใหญ่โตมากไว้หลายแห่ง
ซึ่งมีลักษณะพิเศษ คือฐานหลายชั้นทรงสูงชะลูด หอเทวาลัยที่อยู่ข้างบนเล็กและแคบ
มีการตกแต่งเครื่องบนเป็นแผ่นหินสลักลายสูงขึ้นไป เพื่อให้รับกับรูปทรงของชั้นฐาน
และมีบันไดทางขึ้นด้านหน้าที่ชันมาก
เทวสถานเหล่านี้ แห่งที่สูงที่สุด มีความสูงถึง 230 ฟุต นับว่าเป็นตึกที่สูงที่สุดในทวีปอเมริกา
ก่อนที่จะมีการก่อสร้างตึกระฟ้าแห่งแรกในกรุงนิวยอร์ค
ที่ นครปาเลงเคว (Palenque)
ในเม็กซิโก มีตัวอย่างของปราสาทหินที่แปลกประหลาด
เช่นที่เทวสถานแห่งคัมภีร์ หรือเทวสถานแห่งจารึก (Temple of Inscriptions) ซึ่งมีความสูงราวๆ 65 ฟุต
ตัวอาคารชั้นบนมีช่องประตูทางเข้า 5 ช่อง
และภายในตัวอาคารแบ่งเป็น 3 ห้อง มีการตกแต่งภายนอกภายใน
และเสาหินของอาคารดังกล่าวด้วยอักษรภาพมากมาย โดยเฉพาะห้องกลางเพียงห้องเดียว
มีอักษรภาพอยู่ถึง 240 คำ
จนเป็นที่มาของชื่อที่เรียกขานกันในปัจจุบัน
ที่สำคัญคือ ภายในอาคารชั้นบนที่ว่านี้
ยังมีทางลงเข้าสู่ภายในฐานของเทวาลัย ลึกลงไปถึง 60 ฟุต ภายในนั้นมีห้องเก็บพระศพของกษ้ตริย์ที่ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่ง
มีโลงหินซึ่งมีลวดลายแกะสลักบนฝาโลงงามประณีตมาก
ลวดลายดังกล่าวนี้มีชื่อเสียงไปทั่วโลกครับ
เพราะยังไม่แน่ใจกันว่ามีความหมายอย่างไร
ผู้ชื่นชอบเรื่องมนุษย์ต่างดาวมักจะตีความตามแนวนอนของภาพว่าเป็นรูปกษัตริย์มายากำลังขับยานอวกาศ
แต่เราก็ไม่พบอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ใดๆ ร่วมกับโครงกระดูกที่ผุพังอยู่ในโลงหินนั้น
ปราสาทหินที่มีชื่อเสียงอื่นๆ
ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของพระราชวัง ได้แก่เทวาลัยสุริยเทพ เทวสถานกากบาท
และเทวสถานใหญ่อีกแห่งหนึ่งที่มีภาพแกะสลักน่าชมมากเช่นกัน
ที่ นครเอ็ดซ์นา (Edzná)
รัฐคัมเปเช (Campeche) นับเป็นปราสาทหินอีกแห่งหนึ่งที่มีลักษณะแปลกตา กล่าวคือ
เป็นเทวาลัยบนฐานเป็นชั้น 5 ชั้น สูง 40 เมตร มีบันไดทางขึ้นด้านหน้า แต่ส่วนฐานนั้นแผ่กว้างมาก
และแทนที่จะเป็นฐานทึบอย่างเทวาลัยอื่น
ก็มีการตกแต่งโดยในส่วนฐานชั้นล่างสุดนั้นทำเป็นคูหาเข้าไป สลับกับผนังเป็นช่องๆ
แต่ละช่องคูหา โดยมีเสากลมสองต้นรับส่วนหลังคา
ฐานชั้นบนๆ
ขึ้นไปก็เจาะเป็นคูหาเรียงรายกันสองข้างบันได
โดยลดจำนวนคูหาลงตามความสูงของแต่ละชั้นฐาน คิข้างละ 3 คูหา 2 คูหา และคูหาเดียวตามลำดับ
บนยอดสุดเป็นหอเทวาลัยรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ที่เครื่องบนออกแบบตกแต่งอย่างสวยงามเป็นพิเศษ
นครรัฐมายาหลังค.ศ.1000 มีการสร้างเทวสถานในปริมาณที่น้อยลง และการออกแบบก็เรียบง่ายมากขึ้น
ไม่วิจิตรตระการตาอย่างในยุคเก่าก่อน เนื่องจากแต่ละเมืองมิได้มีอายุยืนยาวมากนัก
แต่ปราสาทหินที่น่าสนใจในยุคนี้ ก็มีอยูบ้างครับ
เช่น ปราสาทหินซึ่งปัจจุบันเรียกกันว่า เทวาลัยผู้วิเศษ
(Temple
of the Magician) ที่ อุกซ์มัล (Uxmal) มีความสูงถึงยอดราวๆ 84 ฟุต
ซึ่งในส่วนของฐานนั้นทำแปลกกว่าที่อื่น คือมีเพียง 3
ชั้นแต่สูงใหญ่มาก โดยฐานชั้นล่างสุดมีขนาดสูงใหญ่ที่สุด
นอกจากนี้
แนวฐานของเทวาลัยแห่งนี้ยังทำเป็นรูปสี่เหลี่ยมมุมมน
แทนที่จะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าปกติแบบปราสาทหินมายาทั่วำป
ชั้นของฐานซึ่งสอบขึ้นเบื้องบน จึงสามารถเลียนแบบภูเขาธรรมชาติได้อย่างแท้จริง
นอกจากนี้ แนวบันไดทางขึ้นของเทวสถานแห่งนี้ก็ทำแปลกกว่าที่อื่นด้วยนะครับ
กล่าวคือ
ทำเป็นทางขึ้นขนาดใหญ่ทั้งทางด้านหน้าและด้านหลัง
แต่บันไดทางขึ้นด้านหน้านั้นขึ้นไปได้เพียงชั้นสอง
ก็จะตรงเข้าสู่ช่องประตูอาคารประกอบพิธีกรรมที่ยื่นออกจากหน้าฐานชั้นสอง
แล้วสองข้างของอาคารที่ว่านี้ จึงทำเป็นบันไดขนาดย่อมนำขึ้นไปสู่ช่องประตูใหญ่ทางด้านหน้าของเทวาลัยเบื้องบน
ซึ่งมีประตูทางเข้าด้านหน้าเพียงด้านเดียว
ส่วนแนวบันไดทางขึ้นด้านหลังนั้น
ก็สามารถขึ้นไปได้ถึงเทวาลัยดังกล่าวได้เลยทีเดียว อาคารดังกล่าวนี้
ยังมีสภาพสมบูรณ์ดีทุกประการ
เทวสถานแห่งจอมเทพกูกูลคัน
(Kukulkán)
หรือโบราณสถานซึ่งเรียกกันว่า El Castillo เป็นปราสาทหินที่มีชื่อเสียงที่สุดของ นครชิเชน อิตซา (Chichén
Itzá) เทวาลัยแห่งนี้ตั้งอยู่บนฐานเป็นชั้น
มีบันไดทางขึ้นด้านหน้าเพียงด้านเดียวหันไปทางทิศเหนือ
ที่เชิงบันไดทำเป็นรูปหัวงูยักษ์ประดับด้วยขนนก อันเป็นสัญลักษณ์ของจอมเทพกูกูลคัน
หอเทวาลัยด้านบนมีรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส
ที่พื้นภายในอาคารเจาะเป็นช่องลงไปสู่ใจกลางชั้นฐานกว้าง 12 ฟุต มีหลุมศพ 4 หลุมเรียงกันจากด้านบนลงสู่ด้านล่าง
โดยพื้นของหลุมศพหลุมที่สี่ซึ่งอยู่ลึกสุด อยู่ระดับเดียวกับพื้นล่างของฐานปราสาทพอดี
และเบื้องล่างหลุมศพนั้นลึกลงไปก็ยังมีห้องใต้ดินอยู่อีกด้วยครับ
เมื่อพิจารณาจากการที่ในหลุมศพ
และห้องเหล่านี้ได้พบโครงกระดูก เครื่องประดับ ภาชนะดินเผา สมบัติล้ำค่า
และเครื่องประกอบพิธีกรรมอยู่เป็นอันมาก ก็มีผู้สันนิษฐานว่า
เป็นของถวายจอมเทพกูกูลคัน
โดยโครงกระดูกในหลุมศพทั้ง 4 อาจเป็นได้ทั้งชนชั้นสูง หรือนักบวชที่ปรารถนาจะมีสุสานรวมอยู่ในเทวาลัยดังกล่าว
หรืออาจเป็นผู้ศรัทธาที่พร้อมจะตาย เพื่อเฝ้าพิทักษ์ของล้ำค่าทั้งหมดในปราสาท
เพราะเหตุว่า
องค์จอมเทพไม่ทรงยอมรับการประกอบพิธีกรรม ที่เกี่ยวข้องกับเลือดและความตาย
จึงเป็นไปไม่ได้หรอกครับ ที่ศพเหล่านั้นจะเป็นผู้เคราะห์ร้าย ที่ถูกนำมาฆ่าเพื่อบูชาพระองค์
เทวาลัยอันสวยงามและวิจิตรบรรจงเหล่านี้
ล้วนแต่สร้างขึ้นด้วยเครื่องมือหิน
นั่นหมายถึงหินทุกก้อนที่ประกอบกันขึ้นเป็นเทวสถานแต่ละแห่ง
ตลอดจนภาพสลักแต่ละภาพนั้น ได้รับการสกัดและตกแต่งอย่างแม่นยำ
ด้วยเครื่องมือหินแบบธรรมดาๆ เท่านั้น เพราะช่างก่อสร้าง
และประติมากรมายาไม่รู้จักเครื่องมือที่เป็นสำริดหรือเหล็ก
ในยุคเสื่อมของอารยธรรมมายา คือสมัย มายาปัน
(Mayapán)
มีการสร้างปราสาทหินขนาดเล็กเพียงสองสามแห่งเท่านั้น
และแสดงให้เห็นฝีมือช่างในระดับต่ำมาก
วัสดุที่นำมาสร้างก็ไม่ได้มาตรฐาน
เช่นใช้อิฐเนื้อหยาบคุณภาพต่ำ แทนที่จะใช้หิน โครงสร้างแต่ละจุดไม่แข็งแรง
การตกแต่งภายนอกภายในทำอย่างลวกๆ ไม่มีความละเอียดประณีต
แสดงถึงนโยบายของผู้นำในยุคเสื่อมอย่างแท้จริง
...................................
หมายเหตุ :
เนื้อหาในบทความนี้ มีลิขสิทธิ์ ใครจะนำไปใช้อ้างอิงที่ใด ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง
หรือทั้งหมด จะต้องระบุ URL ของแต่ละบทความด้วย
และห้ามนำไปใช้เพื่อการค้าโดยเด็ดขาด
No comments:
Post a Comment